รูปแบบและกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรเป็นการกำหนดลักษณะ
ระเบียบ วิธีการที่จะนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตรให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้นโดยมีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรได้ดังนี้
ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์
(2539 : 7)ได้อธิบายว่า การพัฒนาหลักสูตรประกอบด้วยสามมิติ(dimensions) คือ มิติที่หนึ่ง การวางแผนจัดทำหรือยกร่างหลักสูตร (curriculum
planning) มิติที่สองการใช้หลักสูตร (curriculumimplementation)
และมิติสุดท้ายการประเมินผลหลักสูตร (curriculum evaluation)
การพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพได้นั้น
ย่อมขึ้นอยู่กับว่าแต่ละมิติมีประสิทธิผลมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ยังมีผู้รู้หรือนักการศึกษาหลาย
ๆ ท่านได้กล่าวถึงรูปแบบของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้ต่างกัน
นิคม ชมพูหลง (2545
: 53)ได้สรุปแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่นไว้ 6 ขั้นตอนดังนี้
1. การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
ได้แก่ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์สร้างขึ้นทรัพยากรมนุษย์
สภาพความต้องการของท้องถิ่น สภาพจัดการศึกษา และสภาพความต้องการของนักเรียน
ผู้ปกครอง และประชาชน
2.
การสร้างหลักสูตรฉบับร่าง ได้แก่ คำชี้แจง
เหตุผลความจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรหลักของหลักสูตร โครงสร้างเนื้อหา
อัตราเวลาเรียน แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอน
การวัดประเมินผล คำอธิบายรายวิชา ตารางวิเคราะห์หลักสูตร จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
รายละเอียดของเนื้อหาของแต่ละหน่วยโดยละเอียด พร้อมภาพประกอบทุกขั้นตอน
และบรรณานุกรมซึ่งจะต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องที่จะพัฒนาอย่างจริงจัง
แล้วจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม
3. การตรวจสอบหลักสูตรฉบับร่าง
เป็นการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรและวัสดุหลักสูตร ต่าง ๆ
เพื่อนำผลมาปรับปรุงข้อบกพร่องก่อนนำหลักสูตรไปทดลองใช้
โดยจะต้องมีการกำหนดเป็นแผนอย่างมีขั้นตอนและเป็นระบบ มีการประชุมพิจารณาร่วมกันหรือให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบว่าองค์ประกอบต่าง
ๆ ของหลักสูตร เช่น จุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน
คาบเวลาเรียนวิธีการวัดและประเมินผล มีความสอดคล้องกันหรือไม่ อย่างไร
4. การนำหลักสูตรไปทดลองใช้
มีการขออนุมัติหลักสูตร จัดทำตารางแผนการใช้หลักสูตรประชาสัมพันธ์หลักสูตร
เตรียมความพร้อมของบุคลากร งบประมาณ วัสดุหลักสูตร โดยการใช้หลักสูตร
อาจเป็นการสอนเองหรือให้คนอื่นสอนแทน
และจะต้องมีการจัดทำคู่มือการใช้หลักสูตรโดยระบุขั้นตอนต่าง ๆ อย่างละเอียด
5. การประเมินผลการนำหลักสูตรไปทดลองใช้
มีการวางแผนการประเมิน ประเมินย่อยประเมินรวบยอด ประเมินการสอนของผู้สอน
ประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
6. การปรับปรุงแก้ไข
เพื่อปรับแก้หลักสูตร ได้แก่ แผนการสอน
สื่อและเครื่องมือวัดผลประเมินผลให้สมบูรณ์และมีคุณภาพ
ไทเลอร์ (Tyler.
1950 : 78)ได้กำหนดปัญหาพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรและการสอน 4 ข้อ
ซึ่งมีพัฒนาหลักสูตรจะต้องตอบคำถามให้ครบเรียงลำดับข้อ 1 ถึงข้อ 4 ดังนี้
1.
จุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่โรงเรียนต้องการให้ผู้เรียนบรรลุมีอะไรบ้าง
2.
การที่จะบรรลุตามจุดหมายทางการศึกษาที่กำหนดนั้น
จะต้องมีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้าง
3.
ประสบการณ์ทางการศึกษาที่กำหนดนั้น สามารถจัดให้ประสิทธิภาพได้อย่างไร
4. จะทราบได้อย่างไรว่า
ผู้เรียนได้บรรลุตามจุดมุ่งหมายทางศึกษานั้น ๆ
ทาบา (Taba.
1962 : 67)ได้เสนอแนะขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร ดังนี้
2.
กำหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่สังคมต้องการ
3.
คัดเลือกเนื้อหาวิชาความรู้ที่ครูจะนำมาสอน
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่ตั้งไว้
4. จัดลำดับขั้นตอนแก้ไขปรับปรุงเนื้อหาสาระที่เลือกมาได้
5.
คัดเลือกประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ
ซึ่งจะนำมาเสริมเนื้อหาสาระกระบวนการเรียนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
6. จัดระเบียบ จัดลำดับขั้นตอน
และแก้ไขปรับปรุงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่จะนำมาเสริมเนื้อหาสาระการเรียน
7. กำหนดเนื้อหาสาระอะไรบ้าง
หรือประสบการณ์อย่างใดที่ต้องการประเมินว่า
ได้มีการเรียนรู้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่เพียงใด
นอกจากนี้ต้องกำหนดไว้ด้วยว่าจะมีข้อมูลอะไรบ้าง
ที่จะนำมาช่วยในการกำหนดเกณฑ์การประเมินผล และจะใช้วิธีการประเมินอย่างไร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
การแสวงหารูปแบบในการพัฒนาหลักสูตรและการสอนเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น
เพราะ รูปแบบของการพัฒนาหลักสูตรนั้น
เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่ส่งผลต่อการพัฒนาหลักสูตรได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
การนำรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรมาใช้จะต้องปรับให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงของชีวิตและสังคมของผู้ใช้
แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรมีหลายแนวทาง
สงัด
อุทรานันท์ (2532 : 36-43)ได้กล่าวถึงกรบวนการพัฒนาหลักสูตร
ซึ่งต่อเนื่องสัมพันธ์เป็น วัฏจักร
ดังนี้
1.
จัดวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเพื่อการพัฒนาหลักสูตร
2. การกำหนดจุดมุ่งหมาย
3.
การคัดเลือกและจัดเนื้อหาสาระและประสบการณ์
4.
การกำหนดมาตรการวัดและประเมินผล
5. การนำหลักสูตรไปใช้
6. การประเมินผลการใช้หลักสูตร
7. การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
วิชัย
วงษ์ใหญ่ (2533 : 19)ได้เสนอกระบวนการพัฒนาหลักสูตรแบบครบวงจรไว้
3 ระบบโดยเริ่มต้นจากระบบการร่างหลักสูตร ระบบการนำหลักสูตรไปใช้
และระบบการประเมินหลักสูตรซึ่งแต่ละระบบมีรายละเอียดและขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.
ระบบการร่างหลักสูตร ประกอบด้วย การกำหนดหลักสูตร
โดยดูดความสอดคล้องกับเนื้อหาวิชา สภาพสังคม เศรษฐกิจ
และการเมืองหลังจากนั้นกำหนดรูปแบบหลักสูตร ได้แก่ การกำหนดหลักการ โครงร้าง
องค์ประกอบหลักสูตร วัตถุประสงค์ เนื้อหา
ประสบการณ์การเรียนและการประเมินผลกหลังจากนั้นดำเนินการตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรโดยผ่านผู้เชี่ยวชาญ
หรือการสัมมนาและมีการทดลองนำร่อง
พร้อมทั้งรวบรวมผลการวิจัยและปรับแก้หลักสูตรก่อนนำไปใช้
2.
ระบบการใช้หลักสูตร
ประกอบด้วยการขออนุมัติหลักสูตรจากหน่วยงานหรือกระทรวงดำเนินการวางแผนการใช้หลักสูตร
โดยเริ่มจากการประชาสัมพันธ์หลักสูตร การเตรียมความพร้อมของบุคลากร
จัดงบประมาณและวัสดุหลักสูตร บริหารสนับสนุนจัดเตรียมอาคารสถานที่
ระบบบริหารและจัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ และติดตามผลการใช้หลักสูตร
หลังจากนั้นเข้าสู่ระบบการบริหารหลักสูตร โดยการดำเนินการตามแผน
กิจกรรมการเรียนการสอนแผนการสอน คู่มือการสอน
คู่มือการเรียนเตรียมความพร้อมของผู้สอน ความพร้อมของผู้เรียนและการประเมินผลการเรียน
3.
ระบบการประเมินผล
ซึ่งประกอบด้วยการวางแผนการประเมินผลการใช้หลักสูตร ทั้งการประเมินย่อย
การประเมินระบบหลักสูตร ระบบการบริหารและผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
หลังจากนั้นเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และรายงานข้อมูลตามลำดับ
มณฑิชา ชนะสิทธิ์ (2539:17) ได้กล่าวถึงกระบวนการหรือขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้
1.การสร้างหลักสูตร
1.1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน
1.2 การกำหนดจุดมุ่งหมาย
1.3 การกำหนดเนื้อหาสาระ
1.4 การกำหนดประสบการณ์การเรียนรู้
1.5 การกำหนดวิธีกาวัดผลและประเมินผล
2.การนำหลักสูตรไปใช้
3.การประเมินผลหลักสูตร
4.การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
เฉลา มิสดี (2540:17-19) กล่าวว่า
การพัฒนาหลักสูตรที่มีการพัฒนาแตกต่างกันเนื่องมาจากจุดเน้นที่ต่างกัน ได้แก่
1.การมุ้งเน้นการกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ตั้งแต่การศึกษากระบวนการต่างๆเพื่อเป็นพื้นฐานของการสร้างหลักสูตรและการพัฒนารูปแบบหลักสูตร
2.การมุ่งเน้นกระบวนการสอน เป็นการแบ่งหลักสูตรออกมาเป็นการกำหนดการสอน
แผนการสอน คู่มือครู แบบเรียน วัสดุ
และสื่อการเรียนการสอนในรูปแบบต่างๆเป็นบทบาทนักพัฒนาหลักสูตรในระดับห้องเรียน
3.การมุ่งเน้นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรและการสอนที่ต่อเนื่องกันไป
เป็นภาพรวมของการพัฒนาหลักสูตรที่สามารถเรียงลำดับแนวคิดของการพัฒนาหลักสูตรและการสอนได้เต็มรูปแบบ
ธำรง บัวศรี (2542:152) ได้กล่าวถึงกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้
ขั้นที่
1 การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
ขั้นที่
2 การกำหนดจุดหมายของหลักสูตร
ขั้นที่
3 การกำหนดรูปแบบและโครงสร้างของหลักสูตร
ขั้นที่
4 การกำหนดจุดประสงค์ของวิชา
ขั้นที่
5 การเลือกเนื้อหา
ขั้นที่
6 การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้
ขั้นที่
7 การกำหนดประสบการณ์การเรียนรู้
ขั้นที่
8 การกำหนดยุทธศาสตร์การเรียนการสอน
ขั้นที่
9 การประเมินผลการเรียนรู้
ขั้นที่
10 การจัดทำวัสดุหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอน
วิชัย
ประสิทธิ์วุฒิเวชช์ (2542 : 88)ได้กล่าวถึงขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรไว้
7 ขั้น คือ
1.
การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
2.
การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
3.
การกำหนดเนื้อหาสาระและประสบการณ์
4.
การนำหลักสูตรไปใช้
5.
การประเมินหลักสูตร
6.
การปรับปรุง แก้ไข และเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
7.
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
ทาบา
(Taba. 1962 : 12)ได้กล่าวถึงขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรไว้
7 ขั้น คือ
1.การวินิจฉัยความต้องการและความจำเป็นของสังคม
2.การกำหนดจุดมุ่งหมาย
3.การเลือกเนื้อหาสาระ
4.การจัดเนื้อหาสาระ
5.การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้
6.การจัดประสบการณ์เรียนรู้
7.การกำหนดวิธีการประเมินผล
เซเลอร์
และอเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander. 1974 : 27)ได้กล่าวถึงกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้
ดังนี้
1.
การศึกษาตัวแปรต่าง ๆ จากภายนอก
2.
การกำหนดจุดมุ่งหมาย และวัตถุประสงค์
3.
การออกแบบหลักสูตร
4.
การนำหลักสูตรไปใช้
5.
การประเมินผลหลักสูตร
เซเลอร์
อเล็กซานเดอร์ และเลวิส (Saylor Alexander and Lewis. 1981 :
30) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย
1. การศึกษาตัวแปรต่าง ๆ
จากภายนอก ได้แก่ ภูมิหลังของนักเรียน สังคม ธรรมชาติของการเรียนรู้
แผนการศึกษาแห่งชาติ ทรัพยากร
และความสะดวกสบายในการพัฒนาหลักสูตรและคำแนะนำจากผู้ประกอบอาชีพ
2.
การกำหนดความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์
เพื่อการออกแบบหลักสูตร โดยนักวางแผนหลักสูตร
และใช้ข้อมูลทางการเมืองและสังคมเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ การออกแบบหลักสูตร
3.
การนำหลักสูตรไปใช้ โดยครูเป็นพิจารณาความเหมาะสมของการสอน
การวางแผนหลักสูตร รวมถึงการแนะนำแหล่งของสื่อการเรียนรู้โดยให้มีความยืดหยุ่นและมีอิสระแก่ครูและนักเรียน
4.
การประเมินผลหลักสูตร
ทำโดยครูเป็นผู้พิจารณาขั้นตอนประเมินผล เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของนักเรียน
โดยวางแผนหลักสูตรร่วมกันพิจารณาขั้นตอน
การประเมินผลหลักสูตรซึ่งข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลจะใช้เป็นพื้นฐานประกอบการตัดสินใจ
เพื่อวางแผนในอนาคตต่อไป
จากที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า
การจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรนั้นมีสิ่งที่ต้องปฏิบัติและพิจารณาที่สำคัญ คือ
1.การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน
2.การร่างหลักสูตร
2.1การกำหนดจุดมุ่งหมาย
2.2การกำหนดเนื้อหาสาระ
2.3การกำหนดประสบการณ์การเรียนรู้
2.4การกำหนดวิธีการวัดและประเมินผล
3.การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร
4.การทดลองใช้หลักสูตร
5.การประเมินหลักสูตร
6.การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
โมเดลสปาย
ทฤษฎีการพัฒนาสูตรของอำนาจ
จันทร์แป้น (2532 : 24) ที่ผสมผสาน
หรือบูรณาการองค์ประกอบที่สำคัญและสอดคล้องกัน
ที่จะนำไปปฏิบัติได้จริงในสภาพแวดล้อมและข้อจำกัดของโรงเรียนเพื่อให้จัดการศึกษาสอดคล้องกับปัญหา
และสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม และความเจริญก้าวหน้าของวิชาการ เทคโนโลยี
ตลอดจนสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและความต้องการของผู้เรียนโดยแสดงออกมาเป็น
โมเดลสปาย (SPIE Model)
เพื่อให้มีความเข้าใจกระบวนการและขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรแบบ
SPIE Model จึงได้นำเสนอสาระสำคัญของแต่ละขั้นตอน
ดังนี้
1.การวิเคราะห์สถานการณ์
การวิเคราะห์สถานการณ์ (Situation)
หมายถึง การศึกษาวิเคราะห์สภาพในอดีต
สภาพปัจจุบันและสภาพที่ควรเป็นอนาคต โดยวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้
1.1
ปรัชญาการศึกษานโยบาย หลักสูตร
แผนการศึกษา งานวิจัย
1.2
สภาพปัญหา ค่านิยม
วัฒนธรรมและความต้องการชุมชน
1.3
ธรรมชาติของเนื้อหาสาระ วิชาความรู้
ความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ
1.4
ความรู้เกี่ยวกับผู้เรียน
ในด้านความต้องการและความสนใจ
1.5
ทฤษฎีการเรียนรู้
ตลอดจนแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
สงัด อุทรานันท์ (2532 : 191)
ได้กล่าวถึงการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานสำหรับการพัฒนาหลักสูตรไว้
การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะสภาพปัญหาและความต้องการที่ได้จากศึกษาและวิเคราะห์เป็นข้อมูลสำคัญที่หลักสูตรจะต้องการพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาและสนองความต้องการเหล่านั้น
โดยแหล่งข้อมูลสามารถ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพปัญหาชุมชน และข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของผู้เรียน ซึ่งสามารถรวบรวมข้อมูลได้ทั้งทางตรงโดยการใช้แบบสอบถาม
การสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง การสังเกต
สำหรับทางอ้อมทำได้โดยการศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร การรับฟังความคิดเห็นจากแหล่งต่าง
ๆ
กรมวิชาการ (2539
: 4) ได้กล่าวถึงการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานไว้ว่า การพัฒนาหลักสูตรที่มีเป้าหมายหรือมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้มองเห็นภาพของงาน
โดยจำเป็นจะต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานซึ่งเป็นการวางแผนอย่างมียุทธศาสตร์
เพราะเป็นกระบวนการทำงานที่มีการวิเคราะห์ตลอดแนว เป็นกระบวนการคิดที่รอบคอบ
หาทางเลือกที่หลากหลายแนวทางที่มีประโยชน์สูงสุดสถานศึกษาจำเป็นต้องใช้ข้อมูลเกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย
การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็น หรือ
การวางแผนอย่างมียุทธศาสตร์ประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญ ๆ ดังนี้
1. การศึกษาแนวโน้มของการพัฒนาเป็นการศึกษาสภาพสังคมที่สถานศึกษาท้องถิ่นว่ามีแนวโน้มของการพัฒนาไปในทิศทางใด
2. การศึกษาความต้องการของท้องถิ่นเป็นการศึกษาหรือสำรวจความต้องการของท้องถิ่นว่ามีวามต้องการจะให้ท้องถิ่นของตนเป็นอย่างไรในอนาคต
วิธีการได้มาของข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของท้องถิ่นอาจใช้วิธีการทางตรง คือ
การออกไปสอบถามจากบุคคลในท้องถิ่น หรือวิธีการทางอ้อมโดยการรวบรวมข้อมูลที่เป็นความต้องการของท้องถิ่นจากการที่หน่วยงานหรือบุคคลอื่นทำไว้ผลจากการสำรวจนำมาใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาดำเนินการพัฒนา
3. การศึกษาสิ่งที่มีผลต่อการจัดการศึกษา
สิ่งที่มีบทบาทหรือมีผลกระทบต่อการจัดการศึกษาทำให้สถานศึกษาต้องจัดการศึกษาให้สอดคล้องตามที่มีระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
นอกจากนี้วัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางกายภาพของท้องถิ่น
ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนให้สนองหรือสอดคล้องกับท้องถิ่น
4. การศึกษาศักยภาพของสถานศึกษาเป็นการศึกษาสภาพทั่วไปของสถานศึกษาว่ามีความพร้อมในเรื่องใด
มากน้อยเพียงไร
รวมทั้งศึกษาว่าในการดำเนินงานทั้งด้านบริหารและวิชาการที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จ
5. สร้างภาพของงานตลอดแนวขั้นตอนนี้เป็นการนำเอาข้อมูลซึ่งเป็นผลจากกิจกรรมทั้ง
4 ขั้นตอน
2.การวางแผนหลักสูตรหรือแผนประสบการณ์
(Planning)
ในการวางแผนหลักสูตร หรือ
แผนประสบการณ์มีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้
2.1 กำหนดหลักสูตรสาขา
หมวดวิชา
2.2 กำหนดหลักสูตรรายวิชา
2.2.1 กำหนดลักษณะวิชา
2.2.2 พิจารณาความสมดุลระหว่างทฤษฏีกับปฏิบัติ
2.2.3 คัดเลือกและรวบรวมและผลิตสื่อประเภท
2.3
กำหนดหลักสูตรเฉพาะกลุ่มบุคคล เช่น หลักสูตรสำหรับชนกลุ่มน้อย
หรือหลักสูตรสำหรับเด็กเรียนช้า เป็นต้น
2.4 กำหนดแผนการสอน
2.4.1 กำหนดวัตถุประสงค์ รูปแบบของจุดประสงค์สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ (อำนาจ จันทร์แป้น. 2532 : 52)
2.4.1.1 จุดประสงค์จะอยู่ในรูปแบบหรือลักษณะของสิ่งที่ผู้สอนกระทำ เช่น
การเสนอทฤษฏีวัฒนาการ การสาธิต การพิสูจน์ เป็นต้น
ลักษณะเหล่านี้จะแสดงให้เห็นสิ่งที่ผู้สอนวางแผนที่กระทำ
แต่จุดประสงค์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเป้าหมายของการศึกษาที่แท้จริง เพราะ
จุดประสงค์ของการที่แท้จริงไม่ใช่ต้องการให้ผู้สอนกระทำอย่างหนึ่ง
แต่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดพฤติกรรมของผู้เรียน
2.4.1.2 จุดประสงค์อยู่ในลักษณะของรายการหัวข้อเนื้อหาวิชา
จุดประสงค์ในลักษณะนี้ถึงแม้จะชี้ให้เห็นว่านักเรียนจะต้องเรียนอะไรบ้าง
แต่ไม่ใช่จุดประสงค์ที่พึงประสงค์ เพราะไม่ได้ชี้เฉพาะว่านักเรียนจะต้องทำอย่างไรบ้างเนื้อหาสาระเหล่านี้
2.4.1.3 จุดประสงค์จะอยู่ในรูปแบบพฤติกรรมทั่ว ๆ ไป ซึ่งไม่ได้ชี้เฉพาะให้ชัดเจน
เช่น ความคิดเชิงวิจารณ์ การพัฒนาความลึกซึ้ง การพัฒนาเจตคติต่อสังคม เป็นต้น
การกำหนดจุดประสงค์ในลักษณะนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหวังทางการศึกษาว่าคาดหวังที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ตัวผู้เรียน
และแสดงให้เห็นถึงประเภทของการเปลี่ยนแปลงโดย ทั่ว ๆ ไป
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องชี้เฉพาะว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะกระทำกับเนื้อหาใด
หรือพฤติกรรมดังกล่าวจะใช้ในด้านใดของชีวิตไม่เป็นการเพียงพอที่จะพูดอย่างผิวเผินว่าเพื่อพัฒนาความคิดวิเคราะห์โดยไม่อ้างถึงเนื้อหาและประเภทของปัญหาที่จะต้องใช้ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์เลย
วิชัย ประสิทธิ์เวชช์ (2542
: 99)กล่าวถึงการจัดเนื้อหาสาระไว้ว่า การจัดเนื้อหาสาระมีหลายวิธี
แต่ละวิธีควรเหมาะสมกับธรรมชาติของวิชาที่แตกต่างกัน จึงต้องใช้
การจัดหลายวิธีการผสมผสานกันตามธรรมชาติของวิชา ซึ่งสามารถสรุปได้ 3 ประการ คือ
1.จัดลำดับเนื้อหาสาระโดยยึดหลักการทางตรรกะและจิตวิทยา
1.1เนื้อหาสาระที่จากง่ายไปหายาก (The simple-to-complex approach)
1.2ความจำเป็นที่ต้องเรียนก่อนหลัง (The pre-requisite learning
approach)
1.3ลำดับกาลเวลาหรือเหตุการณ์ (The chronological approach)
1.4 ตามหัวข้อหรือเป็นเรื่องอิสระ (The thematic approach)
1.5 ลำดับจากส่วนย่อยไปสู่ส่วนร่วม (The part-to-whole approach)
1.6 ลำดับจากส่วนย่อยไปสู่ส่วนย่อย (The whole-to-part approach)
2. จัดเนื้อหาสาระให้มีความต่อเนื่อง
(Continuity) เพื่อให้เอื้อเฟื้อต่อการสะสมความรู้ให้เกิดความมั่นคงและเพียงพอสำหรับการเรียนรู้ต่อไป
3.
จัดเนื้อหาสาระให้ความสัมพันธ์กัน เพื่อให้เกิดการบูรณาการและการถ่ายโยงความรู้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชา
4.
จัดเตรียมรายละเอียดของการจัดเนื้อหาสาระในแต่ละรูปแบบ
5.
ระบุแนวทางในการนำเอาหลักสูตรนั้น ๆ ไปสู่การปฏิบัติ
6.
กำหนดวิธีการเรียนการสอนและแหล่งวิชาการ
7.
กำหนดวิธีการวัดและประเมินผล
เซย์เลอร์และอเล็กซานเลอร์ (Saylor
and Alexander อ้างในสงัด อุทรานันท์. 2532 : 214)
กล่าวถึงกระบวนการจัดเนื้อหาสาระและมวลประสบการณ์
โดยใช้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับขั้นตอนในการปฏิบัติไว้ดังนี้
1. พิจารณาตัวประกอบที่สำคัญ
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับจุดมุ่งหมายหลักของหลักสูตรที่จัดทำ
2. ระบุจุดมุ่งหมายย่อย ภายใต้จุดมุ่งหมายใหญ่แต่ละข้อ
3. ระบุชนิดของประสบการณ์ที่มีความเหมาะสม
ซึ่งจะสามารถทำให้บรรลุจุดมุ่งหมายหลักและจุดมุ่งหมายย่อย
4.ในแต่ละจุดมุ่งหมายหลักนั้น
ควรเลือกรูปแบบเดียวหรือมากกว่าก็ได้ ในการจัดเนื้อหาสาระในหลักสูตรอาจทำได้ในรูปแบบต่อไปนี้
4.1 การยึดเอาสาขาวิชาหรือรายวิชาเป็นหลัก
4.2 การยึดเอาความต้องการและความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก
4.3 การยึดเอากิจกรรมและปัญหาของสังคมเป็นหลัก
4.4 การยึดเอาทักษะกระบวนการเป็นหลัก
4.5 การยึดเอาสมรรถภาพเป็นหลัก
3.การใช้หลักสูตรหรือการปฏิบัติ (implementation)
ในการใช้หลักสูตร
หรือ การนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัตินั้น จำเป็นต้องเตรียมการพัฒนาบุคลากร เอกสาร
และสื่อประเภทต่าง ๆ
สร้างความเข้าใจแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องในแนวทางที่กำหนดขึ้นมาใหม่
ฝึกอบรมให้เกิดทักษะในการใช้หลักสูตร หรือวิธีการใหม่ ๆ สร้างหรือเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียน
เตรียมการนิเทศภายใน และปฏิบัติตามแผนที่กำหนด
ในการนำหลักสูตรไปใช้นั้น
วิชัย ประสิทธิ์วุฒิเวชช์ (2542 : 104) กล่าวถึงกระบวนการนำหลักสูตรไปใช้
มีขั้นตอนไปสู่การปฏิบัติเป็นลำดับดังนี้
1.การขออนุมัติหลักสูตร
2.การวางแผนการใช้หลักสูตร อาจดำเนินการระหว่างรอการอนุมัติ เช่น
การประชาสัมพันธ์ หลักสูตร เตรียมงบประมาณ เตรียมความพร้อมบุคลากร เป็นต้น
3.การบริหารหลักสูตรให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย
4.การนำหลักสูตรไปใช้
จากรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรข้างต้น
สามารถได้สรุปการใช้หลักสูตรเป็น 2 ขั้นตอนใหญ่ ๆ
คือการวางแผนการใช้หลักสูตรและการดำเนินการสอนตามหลักสูตร
สำหรับการวางแผนการใช้หลักสูตรนั้นประกอบด้วย การประสารงานและการเตรียมบุคลากร
การจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เอกสารประกอบการเรียนการสอน
การประชาสัมพันธ์หลักสูตร หลังจากนั้นดำเนินการสอนตามหลักสูตร
4.การประเมินผล
สำหรับ
สงัด อุทรานันท์ (2532 : 279) กล่าวไว้ว่า
การประเมินหลักสูตรประกอบด้วยการประเมินสิ่งต่อไปนี้ คือ
1. การประเมินเอกสารหลักสูตร
เป็นการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรว่า
มีความเหมาะสมดีและถูกต้องกับหลักการพัฒนาหลักสูตรเพียงใด
หากมีข้อบกพร่องก็ปรับปรุงแก้ไขก่อนนำไปใช้
2. การประเมินการใช้หลักสูตร
เป็นการตรวจสอบว่าหลักสูตรนั้นสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ได้ดีเพียงใด
ส่วนใดที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้หลักสูตร หากพบข้อบกพร่องในระหว่างการใช้หลักสูตร
มักจะได้รับการแก้ไขทันที เพื่อให้การใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3. การประเมินประสิทธิผลของหลักสูตร
โดยทั่วไปจะดำเนินการหลังจากที่มีผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรนั้น ๆ
การประเมินในลักษณะนี้มักจะทำการติดตามความก้าวหน้าของผู้สำเร็จการศึกษาว่าสามารถประสบความสำเร็จในการทำงานเพียงใด
4. การประเมินระบบหลักสูตร เป็นการประเมินในลักษณะที่มีความสมบูรณ์และซับซ้อนมาก
คือ การประเมินที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบอื่นของหลักสูตร เช่น ทรัพยากรที่ต้องใช้
ความสัมพันธ์ของระบบหลักสูตรกับการบริหารโรงเรียน ระบบการจัดการเรียนการสอน
ระบบการวัดและประเมินผล เป็นต้น
นอกจากนี้
วิชัย ดิสสระ (2535 : 116)กล่าวถึงกาประเมินหลักสูตรไว้ว่า
การคำนึงถึงช่วงเวลาในการประเมินผลหลักสูตร ทำให้ได้ลักษณะของการประเมินผล 3 ลักษณะ คือ
1. การประเมินผลก่อนการดำเนินงาน (project analysis)หมายถึง
การประเมินหลักสูตรในช่วงที่หลักสูตรยังไม่นำไปใช้ในโรงเรียน
เป็นการประเมินหลังจากได้วางแผนการพัฒนาหลักสูตรแล้วโดยอาศัยความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาหลักสูตร
ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาวิชา
2. การประเมินขณะดำเนินการ (formative evaluation)หมายถึง
การประเมินผลหลักสูตรในช่วงที่ได้จากการวางแผนพัฒนาไปใช้ในโรงเรียนต้องยึดหลักการและเหตุผลในขั้นวางแผนเป็นหลักแล้วพิจารณาดูว่าหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนที่ปฏิบัติอยู่นั้นเป็นอย่างไรเป้าหมายของการประเมินผลขณะดำเนินการนี้มุ่งที่จะช่วยให้นักพัฒนาหลักสูตรสามารถพิจารณาวิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอน
ที่นำไปใช้ให้สมเหตุสมผลกับหลักการและเหตุผลในขณะวางแผนหลักสูตรเป็นสำคัญ
3. การประเมินหลังดำเนินการ (summative evaluation)หมายถึง
การประเมินผลหลักสูตรในช่วงที่หลักสูตรได้นำไปใช้แล้วหรือประเมินผลจบของโครงการหลักสูตรนั้น
ๆ การประเมินผลหลักสูตรช่วงจบนี้ต้องวิเคราะห์หาผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอน
การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการวางแผนพัฒนาหลักสูตร กระบวนนำหลักสูตรไปใช้
กระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียนและผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอน
อาจใช้แบบสอบถามชนิดต่าง ๆ
เป็นเครื่องมือการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลการเรียนของนักเรียน
ความคิดเห็นของนักเรียน ครู ปกครอง
ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตรทั้งทางตรงและทางอ้อม
สรุป
การพัฒนาหลักสูตร
หมายถึง การปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นหรือสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่
ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและสนองต่อความต้องการของผู้เรียน
การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ เป็นการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะกว้าง ๆ
โดยยึดถือแผนการศึกษาของชาติ เพื่อให้ผู้ใช้ในระดับต่าง ๆ
นำไปขยายหรือปรับเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตร
สำหรับการพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่น หมายถึง ระดับเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา
จะเป็นการนำหลักสูตรระดับชาติมาปรับเปลี่ยนเนื้อหาสาระให้มีความสอดคล้องกับท้องถิ่น
ส่วนการพัฒนาหลักสูตรระดับชั้นเรียนเป็นการพัฒนาหลักสูตรโดยสถานศึกษา
กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ
เป็นการขยายและปรับให้มีความสอดคล้องในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
โดยการพัฒนาระดับหลักสูตรชั้นเรียน เป็นการพัฒนาที่เน้นความต้องการและความถนัด
ความสนใจของผู้เรียน ซึ่งเป็นการปรับจุดประสงค์ เนื้อหาวิชา และกิจกรรมการเรียนการสอนโดยครูผู้เรียน
จากแนวคิดของนักศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรพบว่า
เป็นกระบวนการทำงานที่เป็นระบบเป็นวงจรเชื่อมโยงกันในมิติต่าง ๆ
นักพัฒนาหลักสูตรดำเนินการให้มิติต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
การจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรนั้น
มีสิ่งที่ต้องปฏิบัติและพิจารณาที่สำคัญ คือ
การกำหนดเป้าหมายเบื้องต้อนของหลักสูตรที่จัดทำนั้นให้ชัดเจนว่าเป้าหมายเพื่ออะไร
ทั้งโดยส่วนรวมและส่วนย่อยของหลักสูตร
หลังจากนั้นจึงเลือกเนื้อหากิจกรรมการเรียนการสอน วิธีการประเมินผล และกำหนด
รูปแบบการนำหลักสูตรไปใช้ในโรงเรียน ซึ่งการดำเนินการจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
จึงจะทำให้การพัฒนาหลักสูตรดำเนินไปอย่างครบถ้วนและเกิดผลดี นั่น คือ
ได้กลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตรแบบ
SPIE Model เป็นการผสมผสาน
บูรณาการองค์ประกอบที่สำคัญและสอดคล้องกัน เมื่อนำไปปฏิบัติจริงในสภาพแวดล้อมและข้อจำกัดของโรงเรียนโดยพัฒนาหลักสูตรระดับสถานศึกษานั้น
จะทำให้การจัดการศึกษาสอดคล้องกับปัญหาและความเปลี่ยนแปลงสังคม
ความเจริญก้าวหน้าวิชาการและเทคโนโลยี
ตลอดจนสอดคล้องความต้องการของชุมชนและความต้องการของผู้เรียนด้วย