วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตร

1. พื้นฐานทางด้านปรัชญาการศึกษา
                ปรัชญาการศึกษา คือแนวความคิด หลักการ และกฎเกณฑ์ในการกำหนดแนวทางในการจัดการศึกษา ซึ่งนักการศึกษาได้ยึดเป็นหลักในการดำเนินการทางการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ปรัชญาการศึกษาพยายามทำการวิเคราะห์และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษา ทำให้สามารถมองเห็นปัญหาของการศึกษาได้อย่างชัดเจน ปรัชญาการศึกษาจึงเปรียบเหมือนเข็มทิศนำทางให้นักการศึกษาดำเนินการทางการศึกษาดำเนินการทางการศึกษาอย่างเป็นระบบ ชัดเจน และสมเหตุสมผล
ปรัชญาการศึกษา สามารถแบ่งเป็นยุคสมัยได้ดังนี้
                ยุคสมัยเก่า เน้นความรู้ (Knowledge) โดยใช้ปรัชญาการศึกษา ดังนี้
ปรัชญาสารัตถนิยมหรือสาระนิยม (essentialism) เป็นปรัชญาที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาทั่วไปสาขาจิตนิยม (idealism) และสัจนิยม (realism) ถือว่าบุคคลเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเป็นเครื่องมือของสังคม และสืบทอดวัฒนธรรมของสังคมให้คงอยู่ต่อไป การจัดการศึกษาตามแนวคิดนี้จึงมีลักษณะเป็นการถ่ายทอด และอนุรักษ์วัฒนธรรมของสังคม เนื้อหาวิชาที่นำมาสอนจะเป็นการเตรียมผู้เรียนให้มีชีวิตที่ดี เช่น การอ่าน การเขียน เลขคณิต ประวัติศาสตร์วรรณคดี ปรัชญา ศาสนา เป็นต้น
ปรัชญานิรันตรนิยม (parennialism) ปรัชญานี้มีความเชื่อว่า สิ่งที่มีความคงทนถาวร ย่อมเป็นสิ่งที่ดีงามเป็นจริงมากกว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ การจัดการศึกษาจึงควรให้เรียนในสิ่งที่ดีงาม มั่นคง มีเสถียรภาพ เนื้อหาวิชาที่เรียนจะเป็นวิชาที่พัฒนาเชาวน์ปัญญาและจิตใจ เช่น วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วรรณคดี ไวทยากรณ์ศิลปะการพูด คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และดนตรี
ยุคสมัยปัจจุบัน เน้นผู้เรียน (Learner) โดยใช้ปรัชญาการศึกษา ดังนี้
ปรัชญาอัตนิยม หรือปรัชญาอัตถิภาวนิยม หรือปรัชญาสวภาพนิยม(existentialism) ปรัชญานี้  มีความเชื่อว่า ธรรมชาติของคน สภาพแวดล้อมทางสังคมเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ ทุกคนสามารถกำหนดชีวิตของตนเองจึงเน้น การอยู่เพื่อปัจจุบัน การปรับตัวให้เข้ากับสภาพของสังคม เผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ได้อยู่อย่างมีความสุขการจัดการศึกษาจึงให้ ผู้เรียนมีอิสระในการเรียนรู้ การตัดสินใจ สอนให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง มีเสรีภาพในการเรียน และเลือกเรียนมีความรับผิดชอบในตนเอง
แนวคิดใหม่ เน้นสังคม (Society) โดยใช้ปรัชญาการศึกษา ดังนี้
ปรัชญาปฏิรูปนิยม(reconstructionism) ปรัชญานี้มีความเชื่อว่าการศึกษาควรจะเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยตรง เน้นการจัดการศึกษาเพื่อสร้างสังคมให้ดี รู้จักการอยู่ร่วมกันในสังคม ช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย ดังนั้นผู้เรียนต้องหาประสบการณ์ด้วยตนเองให้มาก การจัดหลักสูตรยึดอนาคตเป็นศูนย์กลาง มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความสามารถและทัศนคติที่จะออกไปปฏิรูปสังคมให้ดีขึ้น




2. พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา
                ข้อมูลพื้นฐานทางจิตวิทยาเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษาวิเคราะห์ หรืออาศัยนักจิตวิทยาให้ข้อมูลที่จำเป็นและถูกต้องไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดทำหลักสูตร ในประเด็น การกำหนดจุดมุ่งหมายหลักสูตร คาบเรียน เกณฑ์อายุมาตรฐานการเข้าเรียน การจัดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้
                พื้นฐานทางด้านจิตวิทยาในการพัฒนาหลักสูตรมีดังนี้
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorist theory) มีความเชื่อว่าปัจจัยหลักที่มีผลต่อ  พฤติกรรมของมนุษย์นั้นน่าจะมาจากสิ่งเร้าใน สภาพแวดล้อม นั่นคือ ถ้าครูสามารถจัดสิ่งเร้าในสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสมแล้วก็จะสามารถทำให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
              ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มความรู้นิยมหรือปัญญานิยม (Cognitivist theory) นักจิตวิทยากลุ่มปัญญานิยมให้ความสนใจในการศึกษาปัจจัยภายในตัวบุคคลที่เรียกว่าโครงสร้างทางปัญญา (cognitive structure) ที่มีผลต่อความจำ การรับรู้และการแก้ปัญหาของบุคคล การกระทำต่าง ๆ ของบุคคลนั้นเกิดขึ้นจากตัวบุคคลนั้นเองไม่ใช่เกิดจากเงื่อนไข 
   ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม (Humanist theory) หรือกลุ่มแรงจูงใจ (motivationtheory)
นักจิตวิทยากลุ่มนี้ไม่ยอมรับว่าการเรียนรู้เกิดจากการกำหนดเงื่อนไขและกลไกต่าง ๆ แต่เขาให้ความสนใจในลักษณะเฉพาะซึ่งเป็นลักษณะของปัจเจกบุคคลโดยเน้นสิ่งที่เรียกว่าตัวตน (self) ตลอดจนความมีอิสรภาพการที่ บุคคลได้มีโอกาสเลือก การกำหนด้วยตนเอง (self determinism) ตามแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้จะเน้นที่เด็กเป็นศูนย์กลาง
               ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มสรรค์สร้างนิยม(Constructivism  theory)  เป็นปรัชญาการศึกษาที่ตั้งอยู่บนฐานความเชื่อที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งความรู้นี้จะฝังติดอยู่กับคนสร้าง ดังนั้นความรู้ของแต่ละคนเป็นความรู้เฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ตนสร้างขึ้นเองเท่านั้น  โดยนักเรียนจะเป็นผู้กำหนดหรือมีส่วนร่วมในการกำหนดสิ่งที่จะเรียนและวิธีการเรียนของตนเอง  และเป็นผู้ตัดสินว่าตนเองจะได้เรียนรู้อะไร  เรียนรู้อย่างไรและพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองอย่างไรสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในบริบทอื่นได้อย่างเหมาะสม  เรียนรู้จากการปฏิบัติมีอิสระในการคิดและทำสิ่งต่างๆเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนด้วยตนเอง  และเรียนรู้บรรยากาศการเรียนที่มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ภายใต้การอำนวยความสะดวกของครู




3. พื้นฐานทางด้านสังคม
บทบาทหน้าที่ที่สำคัญของการศึกษา คือการอนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ดีงามและสังคมไปสู่คนรุ่นหลังและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางสังคมให้สอดคล้องความเจริญก้าวหน้าทางวิทยากรด้านต่าง ๆ รวมทั้ง สนองความต้องการและช่วยแก้ปัญหาสังคมในด้านต่าง ๆ ดังนั้นการศึกษา จึงเป็นเครื่องมือในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสังคมให้เป็นไปในทิศทางที่พึ่งปรารถนาการพัฒนาหลักสูตรจึงต้องให้มีความสอดคล้องกับสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมที่แปรเปลี่ยนได้อยู่เสมอจึงจะสามารถแก้ปัญหาและสนองความต้องการของสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพสังคมหนังสือคลื่นลูกที่ 5 ปราชญ์สังคม ของเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการคลื่นลูกที่ห้าอันเป็นคลื่นของสังคมแห่งอนาคตซึ่งแสดงให้เห็นพัฒนาการของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้งคลื่นลูกใหม่ๆจะเกิดขึ้นตามมาอีก อันเป็นวัฏจักรธรรมชาติของมนุษย์เมื่อประมวลภาพที่นักอนาคตวิทยาพยายามฉายภาพให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้วสามารถสรุปลักษณะของพัฒนาการของสังคมและพฤติกรรมการสื่อสารในยุคต่างๆได้ดังนี้
1. ยุคสังคมเกษตรกรรม (Agricultural Society) เป็นสังคมเชิงซ้อนที่มีสมาชิกในครัวเรือนอยู่ร่วมกันหลายรุ่น รู้จักทำการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ สังคมอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการศึกษาจะสอนการดำรงชีวิตตามสภาพ
2. ยุคสังคมอุตสาหกรรม (Industrial Society) ในยุคนี้สังคมมีการพัฒนาแปรรูปเป็นสังคมเชิงเดี่ยว มีการใช้แรงงานเด็กและสตรนโรงงาน เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคเกษตรกรรมมาสู่ภาคอุตสาหกรรม การจัดการศึกษาใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือทำเป็นขั้นตอน จัดระบบเป็นหมวดหมู่ เป็นระเบียบ
3. ยุคสังคมข่าวสาร (Information Society) สังคมในยุคนี้มีการพัฒนาด้านคอมพิวเตอร์ ด้านเครือข่ายการสื่อสารและคมนาคม ทำให้ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว มนุษย์ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยในการสืบค้นข้อมูล จัดเก็บสารสนเทศเพื่อให้สามารถนำมาใช้งานได้สะดวกรวดเร็วช่วยนกในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
4. ยุคสังคมฐานการเรียนรู้ (Knowledge based Society) ในยุคนี้ทุกคนถูกบังคับให้ต้องให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นตามลำดับ โดยมีความรู้เป็นแกนสำคัญที่ช่วยให้เกิดการปรับตัวไปในทิศทางที่เหมาะสม ดังนั้นสภาพของแรงงานในยุคนี้จะเป็นแรงงานที่มีความรู้
               5. ยุคสังคมปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence society) จะเน้นการใช้ปัญญาควบคู่กับการพัฒนา ความสำเร็จของประเทศและสังคมในยุคนี้ไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนทรัพยากรธรรมชาติหรือวัตถุดิบใดๆ แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถและวิสันทัศน์ทางปัญญาของประชาชนและผู้นำในสังคมที่สามารถบริหารจัดการให้เกิดการพัฒนาที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้สังคมอนาคตของมนุษยชาติ

 4. พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก นักพัฒนาหลักสูตรจึงต้องใช้ข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประกอบการกำหนดเนื้อหาของหลักสูตร และวิธีการจัดการเรียนรู้ กล่าวคือกำหนดเนื้อหาที่พอเพียง ทันสมัย ให้ผู้เรียนได้ทราบถึงผลกระทบที่เกิดจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม กำหนดให้ใช้วิธีการและสื่อการเรียนที่มีความทันสมัย
พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเกี่ยวข้องกับการจัดทำหลักสูตรใน 2 ลักษณะคือ
4.1  เป็นข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงในสังคม
4.2 การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนากระบวนการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านการเมือง การปกครอง
         การเมืองการปกครองมีความสัมพันธ์กับการศึกษา หน้าที่ที่สำคัญของการศึกษาคือ การสร้างสมาชิกที่ดีให้กับสังคมให้อยู่ในระบบการเมืองการปกครองทางสังคมนั้น หลักสูตรจึงต้องบรรจุเนื้อหาสาระและประสบการณ์ที่จะปลูกฝังและสร้างความเข้า ใจให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสันติสุข ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน จัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสภาพของสังคม เช่น การมุ่งเน้นพฤติกรรมด้านประชาธิปไตย เป็นต้น ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครองที่ควรจะนำมาปรับพื้นฐานประกอบการ พิจารณาในการพัฒนา หลักสูตร เช่น ระบบการเมือง ระบบการปกครอง นโยบายของรัฐ เป็นต้น

6. พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านเศรษฐกิจ
          การศึกษาและเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์กัน การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคน คุณภาพของคนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมที่มีสภาพเศรษฐกิจดี จะทำให้สามารถจัดการศึกษาให้กับคนในสังคมได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
ประเด็นที่ควรพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
1. การเตรียมกำลังคน การศึกษาผลิตกำลังคนในด้านต่าง ๆ ให้เพียงพอ พอเหมาะ สอดคล้องกับความต้องการในแต่ละสาขาอาชีพ คือมีความรู้ ทักษะ และคุณสมบัติต่าง ๆ ตรงตามที่ต้องการทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ
2. การพัฒนาอาชีพ จัดหลักสูตรเพื่อพัฒนาอาชีพตามศักยภาพและท้องถิ่น
3. การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม พัฒนาหลักสูตรให้สามารถพัฒนาคนให้มีความพร้อมสำหรับการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม
4. การใช้ทรัพยากรให้หลักสูตรเป็นเครื่องปลูกฝังความสำคัญของทรัพยากร ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
5. การพัฒนาคุณลักษณะของบุคคลในระบบเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริงของสังคม
6. การลงทุนทางการศึกษา คำนึงถึงคุณค่าและผลตอบแทนของการศึกษา เพื่อไม่ก่อให้เกิดความสูญเปล่าระบบการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
 ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร
1. นักบริหารหลักสูตร ได้แก่ อธิบดีกรมวิชาการ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาหลักสูตร ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาหนังสือฯ
2. นักวิชาการ ได้แก่ อาจารย์ในมหาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ
3. ครู อาจารย์ ศึกษานิเทศก์
4.  นักบริหาร ได้แก่ ผู้บริการในระดับต่างๆ
 5.
 บุคคลภายนอก ได้แก่ บุคคลอื่นๆนอกจากที่กล่าวมาและเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ   การใช้หลักสูตร
 6.
 หน่วยสนับสนุนการใช้หลักสูตร ได้แก่ 
                - หน่วยผลิตชุดการสอน และวัสดุอุปกรณ์
                - หน่วยผลิตสื่อสารการเรียนการสอนอื่นๆ
                - หน่วยนิเทศและประสานงาน
                - หน่วยทดสอบ และประเมินผลการเรียนในโรงเรียน
                - หน่วยแนะแนวในโรงเรียน
 สภาพปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
สภาพปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร คือปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่เป็นปัญหาอันเกิดจากการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมกันสร้างหลักสูตร และร่วมกันนำหลักสูตรไปใช้ มีดังนี้
1.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตรไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน
2. ขาดการประสานงานหน้าที่ที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร
3. ผู้บริหารระดับต่างๆเห็นว่าหลักสูตรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเฉพาะ
4.
 ปัญหาการไม่เปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนของครูตามแนวทางของหลักสูตร
5.ปัญหาการเผยแพร่หลักสูตร การสื่อสารทำความเข้าใจในหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นใหม่
การใช้หลักสูตรสถานศึกษา
สถานศึกษาเป็นหน่วยงานที่จัดการศึกษาเป็นแหล่งของการแสวงหาความรู้จึงต้องมีหลักสูตรเป็นของตนเอง คือหลักสูตรสถานศึกษาต้องครอบคลุมภาระงานการจัดการศึกษาทุกด้าน หลักสูตรสถานศึกษาจึงประกอบด้วยการเรียนรู้ทั้งมวลเป็นประสบการณ์อื่นๆ ที่สถานศึกษาแต่ละแห่งวางแผนเพื่อพัฒนาผู้เรียนซึ่งเกิดจากการมีส่วนร่วมของบุคลากรและผู้เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา
หลักสูตรสถานศึกษาเป็นแบบแผนหรือแนวทางหรือข้อกำหนดของการจัดการที่จะพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถโดยส่งเสริมให้แต่ละบุคคลพัฒนาไปสู่ศักยภาพสูงสุดของตนรวมถึง ระดับขั้นของมวลประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้สะสมซึ่งจะช่วยให้ผู้ เรียนนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติได้ประสบการณ์สำเร็จในการเรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จักตนเอง   มีชีวิตอยู่ในโรงเรียน ชุมชน สังคม และโลกอย่างมีความสุข
จุดมุ่งหมายที่สำคัญของหลักสูตรสถานศึกษา คือ
                1. หลักสูตรสถานศึกษา ควรพัฒนาผู้เรียนให้เรียนรู้อย่างมีความสุข เพื่อให้มีความรู้ความสามารถ มีทักษะการเรียนที่สำคัญๆ มีกระบวนการคิดอย่างมีเหตุมีผล มีโอกาสใช้ข้อมูลสารสนเทศ และเทคโนโลยีสื่อสาร หลักสูตรสถานศึกษาควรส่งเสริมจิตใจที่อยากรู้อยากเห็น สร้างความมั่นใจและให้กำลังใจในการเรียนรู้และเป็นบุคคลที่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา
                2. หลักสูตรสถานศึกษาควรส่งเสริมการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ จริยธรรม สังคม และวัฒนธรรมโดยเฉพาะพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความเข้าใจและศรัทธาในความเชื่อของตน 
ความเชื่อและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน มีอิทธิพลต่อบุคคลและสังคมสถานศึกษาควรต้องพัฒนาหลักคุณธรรมและความอิสระของผู้เรียน มีความพร้อมในการเป็นผู้บริโภคที่ตัดสินใจแบบมีข้อมูลและเป็นอิสระเข้าใจในความรับผิดชอบที่มีต่อสังคมโดยรวม สามารถช่วยพัฒนาสังคมให้ความเป็นธรรม มีความเสมอภาค มีความตระหนัก เข้าใจ และยอมรับที่ตนดำรงอยู่ได้ ยึดมั่นในข้อตกลงร่วมกันต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในระบบส่วนตน ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับโลก
การนำหลักสูตรไปใช้
                สรุปเป็นหลักการสำคัญในการนำหลักสูตรไปใช้ได้ดังนี้
 1. จะต้องมีการวางแผนและเตรียมการในการนำหลักสูตรไปใช้
  2. จะต้องมีองค์คณะบุคคลทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นที่จะต้องทำหน้าที่ประสานงานกันเป็นอย่างดีในแต่ละขั้นตอน
   3. การนำหลักสูตรไปใช้จะต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบเป็นไปตามขั้นตอน
   4. การนำหลักสูตรไปใช้จะต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญที่จะช่วยในการนำหลักสูตรไปใช้ประสบความสำเร็จได้
   5. ครูจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่และจริงจังเพราะครูเป็นบุคลากรที่สำคัญที่สุดในการนำหลักสูตรไปใช้
   6. การนำหลักสูตรไปใช้ควรจัดตั้งให้มีหน่วยงานที่มีผู้เชี่ยวชาญการพิเศษเพื่อให้การสนับสนุนและพัฒนาครู
   7. หน่วยงานและบุคลากรในฝ่ายต่างๆ ต้องปฏิบัติงานในบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่
    8. การนำหลักสูตรไปใช้ผู้ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้องติดตามและประเมินผลเป็นระยะๆ เพื่อนำข้อมูลต่างๆมาวิเคราะห์และพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ขั้นตอนการนำหลักสูตรไปใช้
                1. ขั้นการเตรียมการใช้หลักสูตร
                2. ขั้นดำเนินการใช้หลักสูตร
                3. ขั้นติดตามและประเมินผล
บทบาทของบุคลากรในการนำหลักสูตรไปใช้
1. ผู้บริหารโรงเรียน ควรมีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้หลักสูตรดังนี้
                1. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรที่โรงเรียนใช้อยู่อย่างชัดเจน
                2. ให้บริการวัสดุและสื่อการเรียนการสอนทุกชนิดแก่ครู
                3. ดำเนินการนิเทศและติดตามผลการใช้หลักสูตรภายในโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ
                4. กระตุ้นและส่งเสริมครูในการใช้หลักสูตรอย่างถูกต้อง
                5.  ให้กำลังใจและบำรุงขวัญแก่ครูผู้ใช้หลักสูตรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเป็นแบบอย่างแก่ครูคนอื่นๆ
2. หัวหน้าหมวดวิชาหรือหัวหน้าสาขาวิชา ควรจะดำเนินการส่งเสริมการใช้หลักสูตรดังต่อไปนี้
                1. ศึกษารายละเอียดและทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรที่ตนเองรับผิดชอบอย่างชัดแจ้ง
                2. ช่วยวางแผนและจัดทำแผนการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับหลักสูตรที่ตนเองรับผิดชอบ
                3. จัดหาวัสดุหลักสูตร และสื่อการเรียนการสอนและให้บริการแก่ครูคนอื่นที่อยู่ ภายในสายเดียวกัน
                4. ดำเนินการนิเทศและติดตามผลการใช้หลักสูตรที่อยู่ในความรับผิดชอบของ    ตนเองสม่ำเสมอ
                5. ประสานงานการใช้หลักสูตรกับหมวดวิชาอื่น หรือสายวิชาอื่นเพื่อให้การใช้ หลักสูตรภายในโรงเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ครูผู้สอน ในฐานะเป็นผู้ใช้หลักสูตรโดยตรงมีส่วนที่จะช่วยสนับสนุนให้การใช้หลักสูตรภายในโรงเรียนมีประสิทธิภาพดังนี้
                1. ศึกษาหลักสูตรเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรที่ตนเองใช้อยู่อย่าง
                กระจ่างชัด
                2. ปรับปรุงหลักสูตรที่ใช้อยู่ให้มีความเหมาะสมกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น
                3. สอนให้ถูกต้องกับเจตนารมณ์ของหลักสูตรที่ใช้
                4. พยายามคิดค้นหาวิธีการที่เหมาะสมหรือวิธีการที่มีประสิทธิภาพและนำมาใช้
4. บุคลากรอื่นๆ ภายในโรงเรียน นักเทคโนโลยีทางการศึกษา นักวัดผลและนักแนะแนว ต่างก็มีบทบาทในการสนับสนุนและส่งเสริมการใช้หลักสูตรโดยปฏิบัติในหน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบอย่างเต็มที่